สรุป 11 เทรนด์ SEO ล่าสุด อะไรควรทำ และควรทำทันที

Slide5
Blog / SEO

สรุป 11 เทรนด์ SEO ล่าสุด อะไรควรทำ และควรทำทันที

ใครที่กำลังทำ SEO อยู่ในปี 2020 นี้คงจะมีความคิดเหมือนๆกันว่าการทำ SEO นั้นโหดขึ้นกว่าในอดีตมากๆ การแข่งขันสูงขึ้น การทำยากขึ้น และการจะสร้าง Traffic ให้เติบโตนั้นก็ไม่ง่ายเลย เจอกันรุ่นที่พี่ทำบริษัทด้าน SEO เมื่อวันก่อนก็คุยกันไป ถอนหายใจกันไป ผมคิดว่าสาเหตุหนึ่งของปัญหาเหล่านี้ก็คือการเปลี่ยนแปลงครับ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตัวอัลกอริทึ่มของ Google มีการเปลี่ยนแปลงเยอะมากๆและแน่นอนว่ากระบวนการทำ SEO ก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยถ้าหากอยากจะประสบความสำเร็จใน Google ได้

บทความนี้ก็เลยอยากจจะเขียนสรุปเป็นเทรนด์ 11 ข้อที่ผมคิดว่าคนทำ SEO ควรจะต้องรู้และให้ความสำคัญกันโดยเฉพาะในปี 2020 ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นปีที่คนทำ SEO หลายๆคนกำลังนั่งปวดหัวกุมขมับกันอยู่ ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่วงการ SEO น่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงมาก ต่อยอดจากอัลกอริทึ่มใหญ่ที่อัพเดตไปเมื่อปี 2019 ที่สร้างความปวดหัวครั้งใหญ่มาแล้วรอบหนึ่ง เทรนด์การทำ SEO ทั้ง 11 เรื่องนี้จะช่วยให้คุณรับมือกับอะไรใหม่ได้ดียิ่งขึ้น ปรับตัวได้ง่ายขึ้น และหวังว่าจะปวดหัวน้อยลงครับ ไปเริ่มที่เทรนด์แรกกันเลย

1. การทำ SEO ใน Keyword ที่ไม่เคยมีคนค้นหามาก่อน

ปกติแล้วเวลาทำ SEO เชื่อว่าหลายคนมักจะเริ่มต้นด้วยการค้นหา Keyword ที่อยากจะทำ SEO โดยเป็น Keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของเราจากนั้นก็นำเอา Keyword คำนั้นมาเป็นตัวตั้งต้นแล้วหาวิธีปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้เกิดความเกี่ยวข้องเช่นการใส่เข้าไปใน Meta tag, H1, H2, Body เพื่อให้มีโอกาสที่ Google จะเข้ามาเห็นความเกี่ยวข้องนี้แล้วดึงเอาเว็บไซต์ของเราไปแสดงในผลการค้นหา

แต่เทรนด์หนึ่งที่ดูมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในยุคปัจจุบันก็คือการที่ผู้ค้นหาใช้ คำค้นหาที่ไม่เคยมีใครใช้มาก่อน เช่นพิมพ์ค้นหาด้วย Keyword ที่เขาเป็นคนใช้เป็นคนแรก เมื่อเป็นแบบนี้ ปัญหาคือเวลาที่เราเปิดดูใน Keyword Planner เราจะไม่พบสถิติของ Keyword เหล่านี้เลยเพราะมันเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลาและมี Keyword แบบนี้เยอะมากๆด้วย นี่ได้กลายมาเป็นโจทย์ที่น่าจะท้าทายการทำ SEO ในปี 2020 และปีถัดๆไปหลังจากนี้ ยิ่งโดยเฉพาะยุคที่ผู้ค้นหาสามารถที่จะสั่งการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search) ยิ่งทำให้มีโอกาสที่จะเกิดคำค้นหาใหม่ๆ คำค้นหาแปลกๆขึ้นมาได้อีกเยอะ

2. กระบวนการ Craft Content ที่เปลี่ยนไป

ต่อจากข้อที่ 1 เมื่อพฤติกรรมในการค้นหาจำนวนมากกลายเป็น Keyword ที่ไม่เคยมีใครใช้มาก่อน ทำให้กระบวนการที่เราจะสร้าง Content นั้นก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เพราะหลังจากนี้จะมีการทำ SEO Content กลุ่มหนึ่งที่ไม่สามารถตั้งต้นจาก Keyword ได้อีกต่อไป แต่จะต้องตั้งแต่จาก Topic ที่เป็น Customer need จริงๆ ตัวอย่างเช่นในอดีตเวลาที่เราจะทำ SEO Content ที่เกี่ยวกับ “ยางรถยนต์” เราก็จะเข้าไปดูใน Keyword Planner ว่ามีการค้นหาด้วย Keyword อะไรบ้างที่เกี่ยวกับยางรถยนต์ แล้วก็นำเอามาสร้างเป็น Content เตรียมเอาไว้

แต่การสร้าง SEO Content ในยุคต่อไปนี้เราอาจจะเริ่มต้นจากวิเคราะห์ความต้องการของผู้ค้นหามากยิ่งขึ้นว่าผู้ค้นหาจะ Search เกี่ยวกับยางรถยนต์ใน Topic เรื่องอะไรบ้าง จากนั้นก็นำไปสร้างเป็น Content ที่อาจจะไม่จำเป็นต้องโฟกัสกับการใส่ Keyword เข้าไปใน Content มากนัก แล้วปล่อยให้ AI ของ Google ทำการจับคู่ Content ของเรากับคำค้นหาใหม่ๆที่จาก User ให้เอง ในปีนี้และหลังจากนี้จะเป็นช่วงเวลาที่เราโฟกัสไปที่ Target group ของเราเป็นหลักแล้ววิเคราะห์ว่าเขาสนใจอะไร

3. Content ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกยังที่เขียนขึ้นโดยบุคคลที่น่าเชื่อถือ

เราทุกคนรู้กันอยู่แล้ว Content ที่จะทำผลงานได้ดีใน Google ส่วนใหญ่จะเป็น Content ที่มีคุณภาพและมีความเกี่ยวข้องกับ Keyword ที่ผู้ค้นหาใช้ในการ Search แต่ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่ Google ใช้ในการจัดอันดับนั่นก็คือความน่าเชื่อถือของ Content และความน่าเชื่อถือของผู้เขียน ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่คนทำ SEO ในบ้านเราไม่ค่อยรู้แม้ว่าในเมืองนอกจะถกเถียงเรื่องนี้กันอย่างคึกโครมเลยกันแล้วก็ตาม

ทำไมความน่าเชื่อถือของผู้เขียนถึงส่งผลการทำ SEO ผมอยากให้คุณถึงถึงบาง Content ที่ต้องการความน่าเชื่อถือมากๆตัวอย่างเช่น วิธีการเลือกซื้อบ้าน, แนวทางการรักษาโรคหัวใจ, การบริหารกระแสเงินสด ในคำค้นหาเหล่านี้ค่อนข้างมีความอ่อนไหวและผู้ค้นหาก็ต้องการข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์มากๆ ถ้าผู้ป่วยโรคหัวใจมา Search ใน Google เพื่อค้นหาแนวทางการรักษาโรคหัวใจ เขาย่อมต้องอยากอ่าน Content จากเว็บไซต์ของโรงพยาบาลที่เขียนโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า Content ที่มาจากเว็บไซต์ Publisher ที่เขียนโดยนักทำ SEO เพราะเนื้อหาดูน่าเชื่อถือและเป็นประโยชน์มากกว่า

ในอดีตคนทำ SEO ใน Keyword เหล่านี้อาจจะไปเอาบทความนู้นบทความนี้มาสปินรวมกันแล้วใช้ความเชี่ยวชาญในการทำ SEO ที่มากกว่าทำให้ได้เปรียบในการทำ Ranking ซึ่ง Google มองว่ามันอาจจะไม่มีประโยชน์ต่อผู้ค้นหาอย่างเต็มที่ จึงเพิ่มเรื่องความน่าเชื่อถือมาเป็นปัจจัยในการจัดอันดับมากขึ้น อันนี้เป็นเรื่องจริงที่ Google อธิบายเอาไว้ใน Quality Guideline และในเมืองนอกก็มีการทดสอบเรื่องนี้ไปหลายครั้งแล้วว่า Google พูดจริงไม่ใช่แค่ขู่

4. Voice Search จะได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นไปอีก

            ด้วยการเติบโตของการค้นหาผ่าน Mobile และ Smart device ต่างๆ รวมถึงเทคโนโลยี Assistant ต่างๆอย่าง Siri, Google Assistant, Amazon Alexa ทำให้การค้นหาด้วยเสียงเติบโตมากขึ้น เพราะผู้ค้นหาไม่จำเป็นต้องเปิดเข้าเว็บไซต์เพื่อมาพิมพ์คำค้าหาลงไปในช่อง Search ของ Google แล้ว แต่สามารถที่จะสั่งการผ่าน Mobile หรือพวกลำโพงอัจฉริยะได้เลย ผมเชื่อว่าถ้าลำโพงอัจฉริยะได้รับความนิยมในบ้านเราเมื่อไหร่ เมื่อนั้น Voice Search บูมระเบิดแน่ๆ

            สิ่งที่น่าสนใจคือ Google เองก็รู้เทรนด์การเติบโตนี้ว่าผู้บริโภคเริ่มที่จะมาค้นหาด้วยเสียงกันมากยิ่งขึ้นและ Google เองก็พยายามที่จะปรับปรุง Search Engine ของตัวเองให้รองรับการค้นหาด้วยเสียงให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา การค้นหาด้วยเสียงมักจะเป็น Search Term ที่แตกต่างจากการค้นหาด้วยการพิมพ์อยู่พอสมควร เพราะเวลาที่ผู้ค้นหาใช้เสียงในการ Search เขามักจะถามคำถามหรือพูดอะไรยาวๆ ผลการค้นหาที่จะได้รับกลับมาก็มีความแตกต่างจากเดิมพอสมควร ผมแนะนำให้ว่าให้คุณทำความเข้าใจเรื่อง featured snippets เอาไว้รับรองว่ามีประโยชน์อย่างแน่นอน

5. User Experience ที่แย่สามารถทำลาย SEO ของคุณได้

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้นานแล้ว และส่วนตัวค่อนข้างมั่นใจว่าประสบการณ์ของผู้ใช้งานนั้นส่งผลต่อ SEO ของเว็บไซต์มากๆไม่ว่าจะด้านดีหรือด้านไม่ดีก็ตาม ถามว่าประสบการณ์ใช้งานเว็บไซต์มาเกี่ยวข้องกับ SEO อย่างไร คำตอบคือเวลาที่ผู้ค้นหาคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ของเรา เขามักจะมาพร้อมกับความคาดหวังอะไรบางอย่าง ที่เว็บไซต์ของเราควรจะต้องตอบสนองความคาดหวังนั้นให้ได้ ถ้าเขาได้ในสิ่งที่ต้องการ เขาก็จะได้รับประสบการณ์ที่ดีกลับไป

แต่ถ้าเขาไม่ได้รับในสิ่งที่เขาต้องการ หรือได้แบบยากลำบากเพราะต้องกรอกนู้น ตอบคำถาม ปิดโฆษณา เว็บโหลดช้า หรือเจอ Content ที่ไม่น่าสนใจ ก็จะทำลายประสบการณ์ใช้งานอย่างหนักหน่วง สร้างประสบการณ์ที่ย่ำแย่และมีแนวโน้มที่จะไม่กลับมาอีก ตัวอย่างของผมเองที่เคยเปิดเว็บไซต์หนึ่งจากผลการค้นหาเข้าไปแล้วเจอแต่โฆษณากับ Pop up ที่ขึ้นมาสร้างความรำคาญ ทำให้ผมไม่คลิกเว็บไซต์นั้นอีกเลยแม้ว่าจะ Search เจอเว็บไซต์นั้นในครั้งถัดๆไป

6. Featured Snippets จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าให้อธิบายเข้าใจง่ายๆไม่ต้องมีภาษาเทคนิคเยอะๆ ผมชอบอธิบายว่า Featured Snippets คือผลการค้นหาที่มีการแสดงผลพิเศษกว่าผลการค้นหาแบบปกติ คือเจ้า Snippet แบบปกติของ Google จะมีหน้าตาแบบที่เราคุ้นเคยกันดีคือมีตัวอักษร 4 บรรทัดคือ Title 1 บรรทัด, URL 1 บรรทัด, Description 2 บรรทัด แต่ถ้าเป็น Snippet แบบพิเศษที่เรียกว่า Featured Snippets มันอาจจะแสดงผลพร้อมรูปภาพ, แสดงเป็นกรอบข้อความใหญ่, แสดงเป็น Card ที่เลื่อนดูได้, แสดงเป็น Bullet หรือ Number และอื่นๆอีกหลายรูปแบบที่ทำให้ดูน่าคลิกกว่า Snippet แบบปกติ อัตรการคลิกจึงมักจะดีกว่า

(ภาพประกอบ)

และผมมั่นใจว่าปีนี้คนทำ SEO บ้านเราจะทำ Featured Snippets กันมากยิ่งขึ้น ในช่วง 3-4 เดือนก่อนจบปี 2019 ผมได้คุยกับบริษัทที่รับทำ SEO ในประเทศไทยหลายๆเจ้า ทุกเจ้าพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าลูกค้าที่เป็นบริษัทใหญ่หลายแห่งเริ่มรู้จักและร้องขอให้ทำ Featured Snippets กันมากขึ้นเรื่อยๆและตัวบริษัท SEO เองก็อยากที่จะเอา Featured Snippets ไปเป็นหนึ่งในลูกเล่นที่ขายให้กับลูกค้าบริษัทใหญ่ด้วย จริงๆผมเชื่อว่าในปี 2019 ที่ผ่านมาก็น่าจะมีทีม SEO ของหลายๆบริษัทเริ่มนำร่องทำเรื่องนี้กันไปแล้ว แต่ผมเชื่อว่าในปี 2020 มันจะบูมและกลายเป็นเรื่องพื้นฐานในการทำ SEO ไปเลย

7. Local SEO และ Multilingual website จะเข้มข้นมากยิ่งขึ้น

การทำ Local SEO คือการพยายามปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ Rank ติดอันดับเมื่อผู้ค้นหาอยู่ใน Location ที่ใกล้กับตัวธุรกิจหรืออยู่ในพื้นที่ธุรกิจนั้น ส่วน Multilingual website คือการทำ SEO สำหรับเว็บไซต์หลายๆภาษา จริงๆทั้ง 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะเก่าแล้ว แต่เอาจริงๆคนทำ SEO บ้านเรายังมีความสับสนและไม่ค่อยคุ้นชินกันสักเท่าไหร่ และในอนาคตผมคิดว่า 2 เรื่องนี้จะทวีมากยิ่งขึ้น

สำหรับการทำ Local SEO มีเทคนิคอยู่มากมาย เครื่องมือตัวหนึ่งที่คุณต้องรู้จักและต้องใช้เลยก็ Google My Business เป็นเครื่องมือที่เหมาะกับธุรกิจที่มีหน้าร้านมากๆ

            ส่วนๆ Multilingual website คือเว็บไซต์ที่มีหลายๆภาษา คำถามคือถ้าคุณไม่มีการทำ SEO ส่วนนี้เตรียมเอาไว้ สิ่งที่ Google จะทำก็คือ “เดา” ใช่ครับ Google ทำได้เพียงแค่เดาให้เหมาะสมที่สุดว่าจะเอาเวอร์ชั่นไหนไปแสดงผลดี

ตัวอย่างเช่นถ้าเป็นการค้นหาที่มาจากประเทศไทยด้วยภาษาไทย Google ก็จะเดาว่าควรเอาเวอร์ชั่นภาษาไทยไปแสดง แต่อย่าลืมว่าบางครั้งก็มีข้อจำกัดและอุปสรรคหลายอย่างที่ทำให้ Google เลือกไม่ถูกต้อง จึงไม่แปลกที่เราจะ Search แล้วเจอเว็บไซต์เวอร์ชั่น US ที่เป็นภาษาอังกฤษแม้ว่าจะมีเว็บที่เป็นเว็บไทยและภาษาไทยอยู่ก็ตาม แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่การแปลเนื้อหาในเว็บไซต์ และหลายๆ Local website ที่แปลเนื้อหามาจาก Global version ก็สูญเสีย Traffic ตรงนี้ไปเยอะๆมาก กลายเป็น Traffic ไปลงที่ Global website หมด

ที่ตลกคือแม้แต่เอเจนซี่โฆษณาบางแห่งที่รับทำ SEO ให้กับลูกค้าที่เป็นบริษัท Global ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ สมมุติว่าเว็บไซต์ของลูกค้าบริษัทนี้มีหลายโดเมนแยกตามประเทศ (เช่น .com .co.th .co.jp. co.uk) และแต่ละโดเมนก็ยังมีหลายภาษา (/th /en /jp /my) คำถามคือจะต้องทำ SEO ยังไง ผมเชื่อว่าคนที่ SEO จำนวนมากยังตอบเรื่องนี้ไม่ได้

8. ให้ข้อมูลตั้งแต่ลูกค้ายังไม่คลิกเข้าเว็บไซต์

ลองนึกถึง Facebook ที่เราเห็น Content ที่น่าสนใจโพล่ขึ้นมาบนฟีดของเรา เป็นโพสที่มีลิงค์ให้เราคลิกไปยังเว็บไซต์ภายนอก Facebook บางครั้งเรารู้สึกสนใจเนื้อหาของโพสนั้น อยากจะอ่านต่อ อยากจะรู้คำตอบที่จั่วเอาไว้ แต่เชื่อหลายๆคนน่าจะเคยเป็นเหมือนกันคือไม่อยากเปิดเข้าไปอ่านในเว็บไซต์นั้น เพราะไม่อยากออกจาก Facebook หรืออาจจะเป็นเหตุผลที่ไม่อยากเปลืองดาต้า หรืออะไรก็แล้วแต่ พฤติกรรมแบบนี้ก็เริ่มเกิดขึ้นกับการใช้งาน Google เหมือนกัน คือผู้ค้นหาพยายามจะหาคำตอบในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เขาเปิดเข้า Google เพื่อทำการค้นหา ทันใดนั้นเขาก็เจอกับเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลในสิ่งที่เขาสงสัยโดยไม่ต้องคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์เลย แต่แสดงอยู่บน Meta tag

ในบาง Keyword ลูกค้าสามารถค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการได้โดยไม่ต้องคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์ใดเลย เช่นการเช็คราคาสินค้าที่ผลการค้นหาจะมีสินค้าพร้อมราคาแสดงเอาไว้ให้ดูเลย (จากการทำโฆษณาแบบ Shopping) และยังมีอีกหลายๆ Keyword ที่เข้าข่ายนี้ ทำให้เว็บไซต์ย่อมสูญเสียประโยชน์เพราะต้องสูญเสีย Traffic ไป

9. การทำ Content ในแนวกว้างและแนวลึกจะมีมากยิ่งขึ้น

จากการอัพเดต Algorithm ของ Google ในปี 2019 ที่ผ่านมา ทำให้มันหมดยุคที่จะทำ Content เรื่องเดียวแล้วกวาดผลการค้นหาได้ทั้งหมดอีกต่อไปแล้ว คือเมื่อก่อนถ้าคุณทำ Hero Content ที่ผสมกับการทำ SEO ที่ดี มันมีโอกาสมากๆที่ Content นั้นจะ Rank ติดอันดับต้นๆใน Keyword หลายๆตัว จึงกลายเป็นแนวทางการทำ SEO Content ที่ใช้ได้ผลมากๆในอดีต แต่ปัจจุบันหลายๆคนเริ่มพบว่ามันอาจจะใช้ไม่ได้ผลแล้วเพราะ Google พยายามที่จะแสดงผลการค้นหาที่เฉพาะเจาะจงตามแต่ละ Keyword มากยิ่งขึ้น การกระจาย Keyword ในแนวกว้างและแนวลึกจึงมีความสำคัญต่อการทำ SEO และเป็นเทรนด์ที่ควรทำ

10. SEO ส่วนที่เป็นงาน Technical ยังสำคัญมากๆ

SEO จะมีส่วนงานทางเทคนิคที่ยังมีความสำคัญเหมือนเดิมและจะสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆอีก (ในความเห็นของผม) บางเว็บไซต์ต่อให้ทำ SEO เก่งแค่ไหนแต่ก็ไม่ติดอันดับ Google อยู่ดีเพราะปัญหาเชิงเทคนิคของเว็บไซต์นั้นฉุดรั้งเอาไว้อยู่ (เว็บไซต์ในเมืองไทยประสบปัญหานี้กันเยอะมาก) ใครที่ใช้ Google Search Console เป็นจะช่วยในการวิเคราะห์เรื่องพวกนี้ได้ดีมากๆ การทำ SEO ในมุมที่เป็น Technical มีหลายเรื่องๆที่คุณต้องเข้าใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายๆอย่าง Site Speed, Friendly website และเรื่องยากๆอย่าง 301 redirect, canonicalize, URL Parameter filter, Crawl budget, Site Structure ที่ล้วนส่งผลต่ออันดับ SEO เหมือนกัน ศึกษาเอาไว้จะทำให้ได้เปรียบมากๆ

11. การทำ SEO จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น

ถ้าเปรียบเทียบว่าเว็บไซต์คือบ้านของธุรกิจ การสร้าง Content ที่เพื่อนำเสนอในบ้านหลังนี้รวมถึงการหาคนที่เข้าใจงาน Technical ต่างๆมาดูแลบ้าน การตกแต่งบ้านด้วยลูกทาง SEO แบบต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้จะมีต้นทุนที่สูงกว่าในอดีต ถ้าเป็นเมื่อก่อนต้นทุนในการทำ SEO Content อาจจะไม่ได้สูงมากเพราะหาคนเขียนบทความที่พอจะเข้าใจหลักการ SEO สักหน่อยคุณก็ปั๊ม Content ได้เดือนนึงเป็นสิบๆบทความแล้ว แต่ปัจจุบันการสร้าง Content มันต้องรู้จริงมากขึ้น

ยกตัวอย่างสมมุติว่าต้องทำ Content เกี่ยวกับ “การเลือกซื้อรถยนต์มือสอง” ถ้าเป็นเมื่อก่อนคนทำ SEO ก็อาจจะเข้าไปอ่านบทความต่างๆแล้วหยิบมาผสมๆกัน แต่ปัจจุบันโอกาสที่จะทำอย่างนั้นแล้วประสบความสำเร็จก็มีน้อยลง คนทำ SEO ยุคปัจจุบันจึงต้องรู้จักคำว่า Original Content คือการ Research เพื่อหาข้อมูลเชิงลึกแล้วนำมาสร้างเป็น Content ใหม่ที่เป็น Original ของตัวเอง ทำ Content ให้เหมือนเป็นลูกค้าคนหนึ่งแล้วสร้าง Content ที่ตอบโจทย์วิธีการเหล่านั้น

แนะนำคอร์สเรียนออนไลน์ Intensive SEO

ถ้าคุณกำลังคิดอยากจะเริ่มต้นทำ SEO หรืออาจจะทำ SEO อยู่แล้วแต่ว่ายังไม่เห็นผล เว็บไซต์ยังไม่ติดอันดับที่ดี ผมเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาก่อน จากประสบการณ์ในวงการที่ได้ทำงาน SEO มาเกือบ 10 ปี ผ่านโปรเจคเล็กใหญ่และงานยากง่ายมาหมด ผมได้รวบรวมสิ่งที่รู้และเคยทำทั้งหมดมาทำเป็นคอร์สออนไลน์นี้เพื่อเป้าหมายเดียวคือช่วยให้คุณสามารถทำ SEO จนเว็บไซต์ติดอันดับต้นๆในผลการค้นหาของ Google ได้ คอร์ส Intensive SEO ที่สอนเกี่ยวกับ SEO ได้อย่างครบถ้วนที่สุด มีครบทุกอย่างที่คุณต้องรู้ และยังมีการแชร์ประสบการณ์ที่ผมเคยทำและเคยพลาดพร้อมแผนกลยุทธ์จริงๆในการทำ SEO ถ้าคุณอยากทำ SEO ให้ติดอันดับ คุณพลาดคอร์สนี้ไม่ได้จริงๆ

ดูรายละเอียดของคอร์สเพิ่มเติมได้ที่ Intensive SEO